ผ่าต้อกระจก เลือกเลนส์ตาเทียมยังไง? คำแนะนำจากจักษุแพทย์
ผ่าต้อกระจก เลือกเลนส์ตาเทียมยังไง? คำแนะนำจากจักษุแพทย์
เมื่อพูดถึงการ ผ่าต้อกระจก หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงการเอาเลนส์ที่ขุ่นมัวออกเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว การเลือก "เลนส์ตาเทียม" (Intraocular Lens หรือ IOL) ที่จะใส่เข้าไปทดแทนเลนส์ธรรมชาติในดวงตา ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญ เพราะส่งผลต่อคุณภาพการมองเห็นในชีวิตประจำวันในระยะยาว ที่ปัจจุบันมีให้เลือก ทั้งแบบโฟกัสระยะเดียว หลายระยะ และเลนส์ที่แก้ไขสายตาเอียงได้ บทความนี้ หมอจะพาทุกคนทำความรู้จักกับชนิดของเลนส์ตาเทียมแต่ละแบบ พร้อมคำแนะนำเบื้องต้นในการเลือกใช้งาน เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกค่ะ
เลนส์ตาเทียม คืออะไร? จักษุแพทย์มีคำตอบ
เลนส์แก้วตาเทียม หรือ เลนส์ตาเทียม (Intraocular Lens: IOLs) คือวัสดุที่ถูกออกแบบขึ้น เพื่อเลียนแบบเลนส์ธรรมชาติของมนุษย์ มีลักษณะใส โปร่งแสง ขนาดเล็กกว่าปลายนิ้วก้อย และมีความโค้งนูนแตกต่างกันไปตามกำลังเลนส์ที่ต้องการ เพื่อใช้หักเหแสงให้เหมาะสมกับค่าสายตาของแต่ละบุคคล
ภาพจาก : commonwealtheye.com
รูปร่างของเลนส์คล้ายแผ่นพลาสติกบาง ๆ แต่มีคุณสมบัติที่แข็งแรง ยืดหยุ่นสูง และทนทานมาก สามารถม้วนผ่านแผลผ่าตัดที่มีขนาดเพียง 23 มิลลิเมตรได้อย่างง่ายดาย แตกต่างจากคอนแทคเลนส์ทั่วไปตรงที่เลนส์ตาเทียมผลิตจากอะคริลิก (Acrylic) ซึ่งเป็นวัสดุที่ไม่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา ไม่เกิดการขุ่นมัวในภายหลัง จึงสามารถอยู่ในดวงตาได้ตลอดอายุขัย โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือผ่าตัดซ้ำ โดยทั่วไปการผ่าตัดใส่เลนส์ตาเทียมจะเป็นการผ่าตัดเพียงครั้งเดียวต่อหนึ่งดวงตา ซึ่งนอกจากจะใช้เพื่อรักษาโรคต้อกระจกแล้ว ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาค่าสายตาสั้น ยาวโดยกำเนิด รวมถึงสายตาเอียงได้อีกด้วย
ในการผ่าตัด แพทย์จะใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่เลนส์ธรรมชาติที่ถูกนำออก โดยวางเลนส์ไว้ในตำแหน่งของ "ถุงหุ้มเลนส์" ซึ่งเป็นโครงสร้างบาง ๆ ภายในลูกตาที่เคยรองรับเลนส์ธรรมชาติ ทำให้เลนส์เทียมถูกยึดอยู่กับที่ ไม่ลอยไปมา และไม่หลุดออกง่าย การก้ม เงย กระโดด หรือออกกำลังกายหลังผ่าตัด จึงไม่ทำให้เลนส์ตาเทียมเคลื่อน หรือหลุดออกจากตำแหน่งได้
จักษุแพทย์แนะนำ เลนส์ตาเทียม IOLs มีแบบไหนบ้าง
ปัจจุบัน เลนส์ตาเทียมมีหลายชนิดให้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล โดยจำแนกจาก ระยะโฟกัส และ ความสามารถในการแก้ไขค่าสายตา ได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. เลนส์ตาเทียมชนิดโฟกัสระยะเดียว (Monofocal IOLs)
เป็นเลนส์ตาเทียมมาตรฐานที่นิยมใช้กันมายาวนานกว่า 30 ปี โดยลักษณะของเลนส์จะมีจุดโฟกัสเพียงจุดเดียว โดยแพทย์ส่วนใหญ่มักเลือกค่ากำลังเลนส์เทียม ให้จุดโฟกัสไปตกที่จอประสาท จึงทำให้การมองไกลหลังผ่าตัดมักชัดเจน แต่เมื่อมองระยะกลางหรือระยะใกล้ เช่น การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์ อาจยังไม่ชัดเท่าที่ควร จำเป็นต้องพึ่งแว่นสายตาช่วยในบางกิจกรรม ซึ่งในบางกรณี หากหลังผ่าตัดยังมีค่าสายตาเหลืออยู่มาก ก็อาจส่งผลให้ระยะไกลมองไม่ชัดได้เช่นกัน โดยสรุปแล้ว การใส่เลนส์ตาเทียมชนิดโฟกัสระยะเดียว แม้จะสามารถมองเห็นในระยะหนึ่งได้ดี แต่ผู้รับการรักษาอาจยังต้องใส่แว่นสายตา เพื่อเสริมการมองในระยะอื่น
กลุ่มที่เหมาะสมกับการใส่ Monofocal IOLs ได้แก่:
- ผู้ที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ และสามารถยอมรับได้ว่าต้องใส่แว่นช่วยในระยะอื่น
- ผู้ที่ต้องการความคมชัดสูงสุดในระยะใดระยะหนึ่ง เพราะจุดโฟกัสมีเพียงจุดเดียว
- ผู้ที่มีโรคตาอื่นร่วมด้วย เช่น โรคจอประสาทตา ต้อหิน หรือโรคกระจกตา ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถใช้เลนส์แบบหลายระยะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรืออาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ภาพจาก : samitivejchinatown.com
2. เลนส์ตาเทียมชนิดหลายระยะ (Multifocal IOLs)
เลนส์ชนิดนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบโจทย์ข้อจำกัดของ เลนส์เทียม Monofocal IOLs โดยออกแบบให้สามารถมองเห็นได้หลากหลายระยะในดวงตาเดียว ไม่ว่าจะเป็นระยะไกล (มากกว่า 6 เมตร) ระยะกลาง (11.5 เมตร) หรือระยะใกล้ (ประมาณ 3040 เซนติเมตร) แต่ถึงอย่างไร ภาพจากเลนส์ชนิดนี้อาจไม่ได้คมชัดทุกระยะ แต่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้งานสายตาในชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระมากขึ้น ลดการพึ่งพาแว่นสายตาให้น้อยที่สุด ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญของเลนส์กลุ่มนี้
อย่างไรก็ตาม เลนส์หลายระยะมักมีโครงสร้างแบบ Diffractive Design คือผิวเลนส์ไม่เรียบ แต่เป็นวงคล้ายขั้นบันไดเรียงตัวเป็นวงกลม ซึ่งทำให้เห็นภาพที่มี Contrast ลดลงกว่าเลนส์แบบ Monofocal IOLs แสงบางส่วนกระจายออก ลดความคมชัดของภาพ โดยเฉพาะในที่แสงน้อย อาจมีอาการเห็น แสงฟุ้ง รอบดวงไฟตอนกลางคืน อีกทั้งยังปรับการมองเห็นให้เข้ากับเลนส์เทียมได้ยาก โดยเฉพาะผู้ที่ผ่าตัดเพียงตาข้างเดียว จะต้องใช้เวลาปรับตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาขับรถกลางคืนอาจเห็นแสงไฟหน้ารถที่สวนมาเป็นวงวาว ๆ รอบไฟหน้ารถ ในระยะแรกหลังผ่าตัด แต่เมื่อสมองปรับตัวได้แล้ว อาการเหล่านี้มักจะลดลง
ภาพจาก : samitivejchinatown.com
แม้ว่าเทคโนโลยีเลนส์รุ่นใหม่จะพัฒนาให้ปัญหาข้างต้นเบาบางลงมาก แต่ข้อจำกัดสำคัญอีกอย่างคือราคาของเลนส์ชนิดหลายระยะ จะค่อนข้างสูงกว่าเลนส์โฟกัสระยะเดียว
ประเภทของ Multifocal IOLs แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มย่อยหลัก ได้แก่:
2.1 Bifocal IOLs เลนส์โฟกัสสองระยะ
เป็นเลนส์ที่แบ่งแสงให้โฟกัสออกมา 2 จุด เพื่อให้มองเห็นได้สองระยะ เช่น ระยะไกลกับระยะใกล้ หรือระยะไกลกับระยะกลาง แล้วแต่ความต้องการใช้งานของผู้ป่วย
2.2 Trifocal IOLs เลนส์โฟกัสสามระยะ
ตัวเลนส์ออกแบบให้มีโฟกัสครอบคลุมทั้งระยะใกล้ กลาง และไกล โดยการมองเห็นจะมองเห็นความคมชัดทั้ง 3 ระยะแบบพอดีเท่านั้น (ไม่ได้คมชัดมาก) ทำให้ไม่ต้องใส่แว่นสายตาหลังรักษา โดยการแบ่งแสงอาจเท่ากันหรือไม่เท่ากันในแต่ละระยะ ทั้งนี้สามารถเลือกให้ตอบโจทย์ลักษณะการใช้งานในชีวิตจริงของผู้ป่วยแต่ละรายได้
2.3 EDOF (Extended Depth of Focus) เลนส์โฟกัสยืดยาว
เป็นเลนส์ตาเทียมที่อยู่ในกลุ่มก้ำกึ่งระหว่างเลนส์ชนิดโฟกัสระยะเดียว กับเลนส์ชนิดโฟกัสหลายระยะ กล่าวคือ แม้จะมีระยะโฟกัสเพียงหนึ่งระยะ แต่ระยะโฟกัสนั้นถูกออกแบบให้ยืดออก ส่งผลให้ช่วงของการมองเห็นครอบคลุมได้กว้างขึ้น จนเลนส์สามารถโฟกัสได้ใกล้เคียงกับเลนส์ตาเทียมชนิดโฟกัสสองระยะ โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งแสงออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งเลนส์ชนิดนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของเลนส์สองระยะ ที่ต้องมีการแบ่งแสงออกจากกัน จนทำให้การมองเห็นวัตถุในช่วงรอยต่อของทั้งสองระยะไม่ชัดเจน ในขณะที่เลนส์โฟกัสยืดยาวนี้ จะทำให้ระยะโฟกัสครอบคลุมได้กว้างกว่าการใช้เลนส์โฟกัสระยะเดียว โดยยังคงรักษาความต่อเนื่องของการมองเห็นได้ดี โดยไม่มีรอยต่อของโฟกัสเหมือนกับเลนส์ตาเทียมชนิดโฟกัสสองระยะนั่นเอง
3.เลนส์ตาเทียมแก้ไขสายตาเอียง (Toric IOLs)
เลนส์ตาเทียมชนิดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขสายตาเอียงโดยเฉพาะ โดยปกติแล้ว สายตาเอียงจะเกิดจากการที่แสงรวมตัวไม่เป็นจุดเดียว และอาจมีจุดโฟกัสมากกว่าหนึ่งจุด หรือมีลักษณะเป็นขีดกระจายอยู่ที่จอประสาทตา ซึ่งมักเกิดจากความโค้งผิดปกติ หรือพื้นผิวไม่เรียบของกระจกตา ส่งผลให้การมองเห็นเกิดความเบลอ หรือมีภาพซ้อน โดยเลนส์ตาเทียมชนิดนี้จะช่วยให้แสงที่หักเหผ่านกระจกตาสามารถรวมตัวกันเป็นจุดเดียวได้อย่างแม่นยำ เพื่อแก้ไขปัญหาสายตาเอียงอย่างตรงจุด ปัจจุบัน เทคโนโลยีทางตาได้ก้าวหน้าไปไกลมาก จนสามารถสร้างเลนส์ที่แก้ไขค่าสายตา ทั้งระยะเดียวและหลายระยะ รวมทั้งแก้ไขค่าสายตาเอียงได้พร้อมกัน ซึ่งเลนส์ประเภทนี้มีชื่อเรียกว่า Monofocal Toric IOL และ Multifocal Toric IOL นั่นเอง
ภาพจาก : www.midohioeye.com
กลุ่มที่เหมาะสมกับการใส่ Multifocal IOLs
- มีกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาหลายระยะในเวลาเดียวกัน เช่น มองไกล ดูคอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือ ฯลฯ
- ผู้ที่ไม่ต้องการสวมแว่นสายตาในระยะยาว
- ผู้ที่มีสายตายาว (Hyperope) มาก่อน แล้วเริ่มมีภาวะสายตาผู้สูงอายุ ร่วมกับต้อกระจก มักจะปรับตัวกับข้อจำกัดของเลนส์ชนิดนี้ ได้ดีกว่าผู้ที่มีสายตาสั้นหรือสายตาเอียงมาก
- เป็นผู้ที่สามารถยอมรับและเข้าใจข้อจำกัดของเลนส์ชนิดนี้ได้
- มีแผนที่จะฝังเลนส์ชนิดนี้ในตาทั้งสองข้าง หรือสามารถผ่าตัดตาที่สองได้ในเวลาไม่นาน เพราะการใส่ทั้งสองตาจะช่วยให้การปรับตัวกับเลนส์ชนิดนี้ได้ดีกว่า
- ยอมรับได้หากมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเพิ่มเติม
- ไม่มีโรคทางตาที่ส่งผลต่อการมองเห็น เช่น โรคกระจกตา ต้อหิน จอตาลอก หรือจอตาเสื่อม ซึ่งโรคเหล่านี้อาจทำให้ค่าคำนวณเลนส์คลาดเคลื่อนได้ง่าย และมีผลต่อคุณภาพการมองเห็น
- ไม่ติดข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย
- ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ใช้เลนส์ตาเทียมที่ต่างชนิดกันในตาทั้งสองข้าง เพื่อให้ได้ระยะโฟกัสที่หลากหลาย เช่น ใส่เลนส์ชนิดระยะไกล-ใกล้ในตาหนึ่ง และระยะไกล-กลางในอีกตาหนึ่ง หรือใส่เลนส์ Trifocal IOL ในตาหนึ่ง และเลนส์แบบ EDOF ในอีกตาหนึ่ง เพื่อปรับการมองเห็นให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล
กลุ่มที่ไม่เหมาะสมกับการใส่ Multifocal IOLs
- ผู้ที่เคยใส่ Monofocal IOLs มาแล้วในตาข้างหนึ่ง และพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้อยู่แล้ว
- ผู้ที่ไม่มีปัญหาในการใส่แว่นสายตาในบางโอกาส
- ผู้ที่มีสายตาเอียงชนิด irregular หรือมีสายตาเอียงที่ต่างกันมากในตาทั้งสองข้าง
- ผู้ที่ต้องใช้สายตาเวลากลางคืน เช่น ขับรถในเวลากลางคืน หรือผู้ที่ทำงานเป็นนักบิน เนื่องจากเลนส์ชนิดนี้อาจลดความสามารถในการมองเห็นภาพที่มีความคมชัด (contrast sensitivity) ได้
- ผู้ที่เคยมีปัญหากับการใส่แว่นชนิด bifocal หรือ แว่นตาโปรเกรสซีฟ ซึ่งมักจะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวกับ Multifocal IOL ได้ยาก
- ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องการความคมชัดของสายตาในระดับสูง เช่น ศิลปิน นักแม่นยำ หรืออาชีพเฉพาะทางอื่น ๆ
- ผู้ที่เคยผ่านการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ (refractive surgery) มาก่อน เนื่องจากอาจทำให้การวัดและคำนวณกำลังของเลนส์ไม่แม่นยำ
- ผู้ที่ไวต่อ halo และ glare จะไม่สามารถปรับตัวกับแสงกระจายเหล่านี้ได้ง่าย
สรุป
การผ่าตัดต้อกระจกถือเป็นโอกาสสำคัญในการคืนคุณภาพการมองเห็นให้กับตัวเอง และ เลนส์ตาเทียม ก็เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของการผ่าตัดนี้ เพราะเมื่อเลนส์ธรรมชาติที่ขุ่นมัวถูกนำออกไปแล้ว เลนส์ตาเทียมจะทำหน้าที่แทนเลนส์ดั้งเดิมตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างไร การเลือกเลนส์ตาเทียมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน ควรพิจารณาร่วมกับจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยดูจากลักษณะการใช้ชีวิต ความคาดหวังด้านการมองเห็น สภาพของดวงตาเดิม งบประมาณ และโรคร่วมต่าง ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์หลังการผ่าตัดออกมาดีที่สุด
หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังสงสัยว่าตัวเองเริ่มมีต้อกระจกไหม หรือกำลังเตรียมตัวเข้ารับการผ่าต้อกระจก และอยากได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกเลนส์ตาเทียมอย่างเหมาะสม ที่ Dr.Ouise Eye Clinic มีทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือวิเคราะห์สายตาที่แม่นยำ และบริการดูแลครบทุกขั้นตอน พร้อมช่วยออกแบบเลนส์ตาเทียมให้เข้ากับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณในระยะยาว รวมถึงมีบริการตัดประกอบแว่นตาที่เหมาะสมสำหรับคนไข้หลังเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก
บทความโดย
หมออุ๊ย แพทย์หญิง วชิรา สนธิไชย
จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านการแก้ไขปัญหาสายตาและเลนส์โปรเกรสซีฟ
สาขาของเรา
- DR.OUISE EYE CLINIC
ที่ตั้ง ซอยพหลโยธิน 92 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130
เปิดบริการทุกวัน 10.00-18.00 น.
- DR.OUISE EYE SPECIALIST
ห้าง Fashion Island ชั้น 2 ห้องเลขที่ 2040B
เลขที่ 587,589,589/7-9 ถนนรามอินทรา แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กทม 10230
เปิดบริการทุกวัน 10.00-22.00 น.