แชร์

รู้ก่อนสาย! หมอตาชี้ 4 โรคตายอดฮิต ที่มาพร้อมจอคอมพิวเตอร์

อัพเดทล่าสุด: 1 พ.ย. 2025
30 ผู้เข้าชม

รู้ก่อนสาย! หมอตาชี้ 4 โรคตายอดฮิต ที่มาพร้อมจอคอมพิวเตอร์

 

    ในยุคที่การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของเราผูกติดอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต การใช้สายตาอย่างต่อเนื่องโดยไม่พัก อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพตาโดยไม่รู้ตัว กระทั่งหลายคนเริ่มมีอาการตาล้า แสบตา หรือมองไม่ชัด หลังใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนของ โรคทางตา ที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนยุคดิจิทัล วันนี้หมอจะพาไปรู้จักกับโรคตาที่เกิดจากการใช้จออิเล็กทรอนิกส์ พร้อมแนวทางดูแลและป้องกันอย่างถูกวิธี

 


รวมคำแนะนำจากหมอตา 4 โรคทางตาที่มาพร้อมกับจอ



  


ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain)

 

 อาการโดยทั่วไป


ภาวะตาล้าหรือที่เรียกว่า Digital Eye Strain มักมีอาการตามัว เห็นภาพไม่ชัด มีภาวะสายตาสั้นเทียม ตาล้า ตาแห้ง แสบตา หรือน้ำตาไหล บางรายอาจมีอาการปวดกระบอกตาหรือปวดศีรษะร่วมด้วย และมีความรู้สึกว่าเปลี่ยนโฟกัสจากมองไกลมามองใกล้ หรือมองใกล้ไปมองไกลได้ช้าลง 

สาเหตุ
ภาวะนี้เกิดจากการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน โดยไม่พักสายตา และในขณะจดจ่อกับงานเรามักจะลืมกระพริบตา ทำให้ดวงตาแห้งได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อทำงานในห้องแอร์ซึ่งมีความชื้นในอากาศต่ำ ส่งผลให้ดวงตาแห้งและระคายเคืองมากขึ้น อีกทั้งแสงสว่างรอบตัวหรือความสว่างของหน้าจอที่ไม่เหมาะสม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการตาล้าได้เช่นกัน

วิธีแก้ไข:

  1. แนะนำว่าควรพักสายตาเป็นระยะ ๆ โดยใช้หลัก 20-20-20 คือ พักสายตาทุก ๆ 20 นาที มองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที
  2. อาจเลือกพักสายตา 10 นาทีต่อการทำงานทุก ๆ 1 ชั่วโมง หรือพัก 15 นาทีต่อการทำงานทุก ๆ 2 ชั่วโมง
  3. ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม เช่น กระพริบตาบ่อย ๆ ใช้น้ำตาเทียมเมื่อตาแห้ง หลีกเลี่ยงการนั่งในตำแหน่งที่แอร์เป่าลงตาโดยตรง และปรับแสงของหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแสงโดยรอบ
  4. ควรวางเอกสารที่ใช้งานอยู่ในระดับสายตาและใกล้กับหน้าจอ เพื่อลดการก้มเงยบ่อย ๆ วิธีนี้จะช่วยลดภาระการปรับโฟกัสของตา และป้องกันอาการตาล้าได้เป็นอย่างดี

 

 

กลุ่มอาการคอมพิวเตอร์วิชันซินโดรม (Computer Vision Syndrome: CVS)

 

Computer Vision Syndrome (CVS) มีอาการคล้ายกับภาวะตาล้า แต่เพิ่มเติมคือจะมีอาการปวดต้นคอ ปวดบ่า ปวดไหล่ และปวดหลังร่วมด้วย

สาเหตุ
เกิดจากการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่พักสายตา ระหว่างการทำงานมักไม่ค่อยกระพริบตา ทำให้ดวงตาแห้ง แสบ หรือเคืองได้ง่าย อีกทั้งแสงสว่างโดยรอบหรือแสงจากหน้าจอที่ไม่เหมาะสม รวมถึงท่านั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะนี้

วิธีแก้ไข

  1. ควรพักสายตาเป็นระยะ ๆ หมั่นกระพริบตาบ่อย ๆ และหยอดน้ำตาเทียมเมื่อรู้สึกตาแห้ง
  2. ควรปรับระดับโต๊ะ เก้าอี้ และท่านั่งให้เหมาะสม โดยเก้าอี้ควรมีพนักพิงที่รองรับหลังตรง สามารถปรับให้วางเท้าบนพื้นได้เต็มที่ และเข่าควรทำมุม 90 องศากับพื้น เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน
  3. จัดวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม โดยการวางหน้าจอให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 1015 องศา และอยู่ห่างจากดวงตาประมาณหนึ่งช่วงแขน (ประมาณ 25 นิ้ว) ส่วนแป้นพิมพ์และเมาส์ ควรอยู่ต่ำกว่าระดับข้อศอกและวางไว้ใกล้ตัว สามารถใช้ที่รองข้อมือเพื่อลดอาการเมื่อยล้าได้

 

 

 

ภาวะสายตาสั้นเทียม (Pseudomyopia)

มักเป็นอาการที่ต่างจากภาวะสายตาสั้นทั่วไป โดยภาวะสายตาสั้นเทียม มักเกิดจากการใช้สายตาทำงานในระยะใกล้ ติดต่อกันเป็นเวลานาน แล้วเปลี่ยนมามองวัตถุระยะไกล จะพบว่าเห็นภาพมัว และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะมองเห็นชัดอีกครั้ง

สาเหตุ
เกิดจากการเพ่งมองในระยะใกล้ต่อเนื่องนานเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมการเพ่งระยะใกล้ (Ciliary Muscle) ทำงานหนักจนเกิดอาการเกร็งค้าง ส่งผลให้เกิดภาวะสายตาสั้นเทียม และหากปล่อยไว้นานโดยไม่พักสายตาอย่างเพียงพอ ในบางรายอาจพัฒนาเป็น สายตาสั้นจริง ได้

วิธีแก้ไข

  1. หากจำเป็นต้องใช้สายตาในระยะใกล้นาน ๆ ควรพักสายตาเป็นระยะ เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ใช้เพ่งได้ผ่อนคลาย และไม่เกิดการเกร็งค้าง
  2. หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือหรือใช้สายตาในที่แสงสลัว
  3. ไม่ควรอ่านตัวอักษรที่มีขนาดเล็กเกินไป เพราะจะทำให้ดวงตาต้องเพ่งมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะดังกล่าว


ภาพจาก : www.thenewyorkeyedoctor.com

 

 

ภาวะต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน (Acute Angle-Closure Glaucoma)

มักเป็นภาวะที่คนไข้เกิดอาการเฉียบพลัน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่ามัวลงอย่างกะทันหัน ปวดตามาก ตาแดง และเห็นแสงรัศมีหรือแสงรุ้งรอบดวงไฟ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร

สาเหตุ
ภาวะต้อหินเกิดจากการอยู่ในที่มืดแล้วก้มหน้ามองจออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้รูม่านตาขยายตัวมากขึ้น จนไปอุดกั้นช่องระบายน้ำภายในลูกตา ส่งผลให้ของเหลวในลูกตา (Aqueous Humor) ไม่สามารถระบายออกได้ตามปกติ จนเกิดการคั่งของความดันภายในลูกตา (Intraocular Pressure) หากแรงดันในลูกตาสูงมากจนทำลายขั้วประสาทตา (Optic Nerve Head) จะทำให้ลานสายตาแคบลง (Loss of Visual Field) และอาจสูญเสียการมองเห็นแบบถาวร (Blindness) ได้ แม้ภาวะนี้จะพบได้ไม่บ่อย แต่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางตาที่ต้องรีบพบจักษุแพทย์โดยด่วน

วิธีป้องกันและดูแล

  1. ไม่ควรก้มหน้าเวลามองจออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในที่มืด
  2. หากจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ควรเปิดไฟให้มีความสว่างเพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้รูม่านตาขยายตัวมากเกินไป วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหินเฉียบพลันได้

 

 

 

 

 

หมอตาไขข้อสงสัย แสงสีฟ้าจากหน้าจอทำให้จอตาเสื่อมหรือไม่?


เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจกำลังนึกถึงแสงอันตราย อย่าง แสงสีฟ้า จนเกิดคำถามว่า แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ อาจทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) ได้จริงหรือ? ซึ่งในความเป็นจริง หมอขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงค่ะ  เพราะจนถึงปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดที่ยืนยันว่าแสงสีฟ้า ที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีความรุนแรงเพียงพอจะทำอันตรายต่อจอตามนุษย์ได้

 

 

 

แสงสีฟ้าจากหน้าจอมีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ประมาณ 380 500 นาโนเมตร ซึ่งถือว่ามีความเข้มต่ำมากเมื่อเทียบกับแสงสีฟ้าที่มาจาก รังสี UV ของแสงแดดโดยตรง ซึ่งแสงดังกล่าวจะมีพลังงานสูงกว่า และสามารถสร้างความเสียหายระดับเซลล์ของจอประสาทตาได้จริง ๆ ดังนั้น สิ่งที่หมออยากเน้นคือ การปกป้องดวงตาจากแสงแดดจ้าและรังสี UV ด้วยการใส่แว่นกันแดดหรือเลนส์ออกแดดเปลี่ยนสี (Photochromic) เมื่ออยู่กลางแจ้ง ถือเป็นวิธีป้องกันที่ได้ผล และจำเป็นมากกว่าการกลัวแสงจากหน้าจอในชีวิตประจำวัน แต่หากยังไม่สบายใจ 

  

  

 หมอตาแนะนำ  เลนส์กรองแสงสีฟ้ายังจำเป็นหรือไม่ในยุคปัจจุบัน

 

เมื่อรู้แล้วว่าแสงสีฟ้าจากหน้าจอ ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคจอประสาทตาเสื่อม หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วเรายังจำเป็นต้องใส่แว่นกรองแสงสีฟ้าอยู่ไหม? ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของแต่ละบุคคลค่ะ เพราะแม้ว่าเลนส์กรองแสงสีฟ้า จะไม่ได้ช่วยป้องกันโรคตาโดยตรง แต่ก็มาพร้อมประโยชน์ในด้านการช่วย ลดการกระเจิงของแสง ช่วยให้ภาพคมชัด และลดอาการตาล้าจากการใช้หน้าจอนาน ๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตลอดทั้งวัน

 

 

 

อย่างไรก็ตาม หมอตาอยากให้ทุกคนทราบว่า เลนส์กรองแสงสีฟ้าบางรุ่นอาจมีสีเหลืองอ่อนติดอยู่บนผิวเลนส์ ที่อาจทำให้การมองเห็นสีเพี้ยนได้เล็กน้อย โดยเฉพาะในอาชีพที่ต้องใช้ความแม่นยำของสี เช่น ช่างภาพ ดีไซเนอร์ หรือช่างแต่งหน้า ดังนั้นควรแจ้งกับร้านแว่นหรือคลินิกตาให้ทราบล่วงหน้า แต่โดยปกติแล้วหากตัดในร้านแว่นโดยจักษุแพทย์ มักมีการเช็กประวัติของคนไข้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงวางใจเรื่องนี้ได้ เพราะคุณจะได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการเลือกเลนส์รุ่นที่เหมาะสม แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีเลนส์รุ่นใหม่ ๆ ได้พัฒนาให้เลนส์กรองแสงสีฟ้าได้ โดยไม่ติดเหลืองมากเหมือนในอดีต ทำให้ใช้งานได้สะดวก และสบายตากว่าเดิม

 

 

สรุป

การใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานานกับหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ อาจทำให้เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง ปวดศีรษะ รวมถึงปัญหาสายตาอื่น ๆ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคตาที่เป็นอันตราย แนะนำว่าควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการต้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือมือถือ เช่น การพักสายตา ปรับมุมและความสว่างหน้าจอ กระพริบตาบ่อย ๆ ตลอดจนการตรวจสุขภาพตากับผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันปัญหาสายตาในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

หากมีความกังวลเรื่องโรคตาที่เกิดจากการใช้หน้าจอ ที่ Dr.Ouise Eye Clinic (คลินิกตาหมออุ๊ย) คลินิกศูนย์เลนส์แว่นตาโปรเกรสซีฟและเลนส์ชะลอสายตาสั้นในเด็ก มีจักษุแพทย์ นักทัศนมาตร และทีมงานผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเครื่องมือวัดสายตาและตรวจโรคทางตาที่ทันสมัย ที่ไม่เพียงแต่ช่วยวัดค่าสายตาเท่านั้น แต่ยังสามารถประเมิน และวินิจฉัยปัญหาสายตา รวมไปถึงโรคตาที่เป็นอันตรายได้อย่างครบวงจร ที่สำคัญยังพร้อมให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล เพื่อให้คุณดูแลสายตาได้อย่างปลอดภัย และเหมาะสมที่สุดในระยะยาว

   

  

 

Dr.Ouise พร้อมช่วยดูแลใส่ใจในสุขภาพดวงตาของทุกคน เพื่อประสิทธิภาพการมองเห็น ที่คมชัดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

   


  

บทความโดย

หมออุ๊ย แพทย์หญิง วชิรา สนธิไชย

จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านการแก้ไขปัญหาสายตาและเลนส์โปรเกรสซีฟ

 

 

 

สาขาของเรา

  • DR.OUISE EYE CLINIC
  • ที่ตั้ง ซอยพหลโยธิน 92 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130
  • เปิดบริการทุกวัน 10.00-18.00 น.

 

  • DR.OUISE EYE SPECIALIST
  • ห้าง Fashion Island ชั้น 2 ห้องเลขที่ 2040B 
  • เลขที่ 587,589,589/7-9 ถนนรามอินทรา แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กทม 10230
  • เปิดบริการทุกวัน 10.00-22.00 น.

 

 

 

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
รู้ก่อนสาย! หมอตาชี้ 4 โรคตายอดฮิต ที่มาพร้อมจอคอมพิวเตอร์
ข้อควรรู้ก่อนตัดแว่นโปรเกรสซีฟ จำเป็นต้องสำรวจพฤติกรรมการใช้สายตา ทดลองเลนส์ก่อนตัดจริง
1 พ.ย. 2025
การดูแลสุขภาพตาในชีวิตประจำวัน
ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่เราใช้งานตลอดเวลา ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ทำงาน หรือใช้สมาร์ทโฟน..
15 ต.ค. 2025
เคล็ด(ไม่)ลับ ปรับตัวใช้เลนส์โปรเกรสซีฟ ใส่สบายตา ไม่ปวดหัว
เคล็ดลับปรับตัวใช้เลนส์โปรเกรสซีฟให้สบายตา มองใกล้–กลาง–ไกลได้ชัดเจน
28 ต.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy